icon-coral

สถานการณ์ปี 2553

          สถานการณ์ กันยายน 2553 แนวปะการังตามเวิ้งอ่าวทางฝั่งตะวันตกของเกาะต่างๆ ทางฝั่งทะเลอันดามัน ได้รับอิทธิพลจากคลื่นใต้น้ำ (internal waves) เป็นครั้งคราว ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลไม่สูงตลอดเวลา ผลกระทบจากปะการังฟอกขาวจึงไม่รุนแรงมาก ทำให้มีปะการังมีชีลิตรอดอยู่ได้มากกว่าชายฝั่งด้านอื่นของเกาะ และจากการสำรวจในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายพื้นที่ในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม พ.ศ. 2553 โดยเฉพาะที่หมู่เกาะพีพี (จังหวัดกระบี่) เกาะ-ราชา (จังหวัดภูเก็ต) เกาะไข่นอก และหมู่เกาะสุรินทร์-สิมิลัน (จังหวัดพังงา) พบว่าในแนวปะการังแต่ละแห่งได้รับผลกระทบจากการฟอกขาวและเกิดความเสียหายค่อนข้างมาก 

แนวปะการังตามเวิ้งอ่าวทางฝั่งตะวันตกของเกาะต่างๆ ทางฝั่งทะเลอันดามัน

แนวปะการังตามเวิ้งอ่าวทางฝั่งตะวันตกของเกาะต่างๆ ทางฝั่งทะเลอันดามัน ได้รับอิทธิพลจากคลื่นใต้น้ำ (internal waves) ผลกระทบจากปะการังฟอกขาวจึงไม่รุนแรงมาก

          จากตารางจะเห็นว่า จากการสำรวจในสถานีศึกษาจำนวน 27 แห่ง มีปะการังที่มีชีวิตเหลืออยู่ในช่วง 0.1 – 66.3% (เฉลี่ย 13.9%+13.33 ) อัตราการตายของปะการัง (คิดเป็นเปอร์เซ็นต์สัมพัทธ์กับปริมาณปะการังที่มีชีวิตที่มีอยู่เดิม) กระจายอยู่ในช่วง 26 – 100% (เฉลี่ย 68.8%+22.5) โดยมีข้อสังเกตว่าแหล่งที่ได้รับผลกระทบน้อยมากคือที่อ่าวฝั่งตะวันตก (อ่าวพลับพลา) ของเกาะราชาใหญ่ อ่าวฝั่งทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะปายู ทั้งสองแห่งนี้มีปะการังสีน้ำเงิน (Heliopora coerulea) เป็นชนิดที่ขึ้นเด่นในพื้นที่ (dominant species) ซึ่งปะการังชนิดนี้สามารถต้านต่อการฟอกขาวได้ดี อ่าวที่พบผลกระทบจาการฟอกขาวค่อนข้างน้อยอีกแห่งหนึ่งคือ อ่าวลาน้า ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะพีพีดอน ในอ่าวแห่งนี้ยังพบปะการังกลุ่มเขากวางและปะการังโต๊ะ (Acropora spp.) เหลืออยู่ค่อนข้างมาก ในขณะที่พื้นที่อื่นปะการังในสกุลนี้หลงเหลืออยู่น้อยมากหลังจากการฟอกขาว สาเหตุที่ปะการังในอ่าวลาน้าได้รับผลกระทบไม่รุนแรงมากนัก อาจเนื่องจากเป็นจุดที่รับคลื่นและมวลน้ำที่พัดมาจากทะเลเปิดทางฝั่งตะวันตก ทำให้อุณหภูมิไม่สูงตลอดเวลา ซึ่งลักษณะนี้ยังพบที่อ่าวฝั่งตะวันตกของเกาะราชาใหญ่ และในเวิ้งอ่าวตามหมู่เกาะสิมิลัน และยังมีข้อน่าสังเกตอีกแห่งหนึ่ง คือที่เกาะราชาใหญ่ฝั่งตะวันออกตอนกลาง มีอัตราการตายค่อนข้างน้อยเช่นกัน แท้ที่จริงแล้ว บริเวณนี้มีปะการังโขด (Porites lutea) เป็นชนิดเด่น พบว่ามีการฟอกขาวมาก แต่มีการฟื้นตัวได้ดีเมื่ออุณหภูมิน้ำลดลง

ตารางปริมาณปกคลุมพื้นที่ (%) ของปะการังที่มีชีวิตก่อนและหลังการฟอกขาวปี พ.ศ.2553 และอัตราการตาย ของปะการัง (%) ณ สถานีสำรวจซึ่งเป็นแปลงสำรวจถาวรที่มีการติดตามตรวจสอบอย่างต่อเนื่องในระยะยาว 

ตารางปริมาณปกคลุมพื้นที่ (%) ของปะการังที่มีชีวิตก่อนและหลังการฟอกขาวปี พ.ศ.2553 และอัตราการตาย ของปะการัง (%)

หมายเหตุ
          1.แปลงสำรวจ เป็นแปลงขนาดยาว 100 เมตร อยู่บนโซนลาดชัน (reef slope) ณ ความลึกที่แตกต่างกันไปในแต่ละแห่ง (เฉลี่ยอยู่ในช่วง 3-10 เมตร)
          2.ข้อมูลก่อนการฟอกขาว สำรวจในช่วงต้นปี พ.ศ. 2553 (ยกเว้นของกลุ่มเกาะสิมิลัน ซึ่งสำรวจในปลายปี พ.ศ.2550) ข้อมูลหลังการฟอกขาว สำรวจในช่วงปลายปี พ.ศ.2553 จากการที่แนวปะการังได้รับความเสียหายจากการฟอกขาวอย่างรุนแรงในปี พ.ศ.2553 นี้ ทำให้สภาพแนวปะการังเปลี่ยนแปลงไปเป็นอันมาก แนวปะการังหลายแห่งเปลี่ยนจากสภาพสมบูรณ์ไปเป็นสภาพเสียหายมาก การฟื้นตัวของแนวปะการังจะเกิดขึ้นได้โดยขบวนการทางธรรมชาติ โดยโคโลนีของปะการังที่ยังหลงเหลืออยู่เจริญเติบโตต่อไป และจากการเข้ามาลงเกาะใหม่ของตัวอ่อนปะการัง ซึ่งอาจเป็นตัวอ่อนที่ได้จากแม่พันธุ์ที่อยู่ภายในแนวปะการังนั้น หรือมาจากแหล่งอื่นที่อยู่ใกล้เคียงหรือห่างไกลออกไป ดังนั้นการจัดการพื้นที่จึงต้องครอบคลุมเป็นพื้นที่กว้าง เพราะแนวปะการังถึงแม้มิใช่เป็นผืนเดียวกัน แต่ก็มีความเชื่อมโยงกัน เพราะต้องอาศัยตัวอ่อนที่แพร่กระจายไปตามกระแสน้ำ ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับแนวปะการังครั้งนี้ แน่นอนที่สุดในแต่ละพื้นที่ใช้เวลาแตกต่างต่างกันในการฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพดีดังเดิม จากเหตุการณ์ปะการังฟอกขาวในปี พ.ศ.2534 และ 2538 ที่ก่อให้เกิดความเสียหายค่อนข้างรุนแรง (แต่รุนแรงน้อยกว่าปี พ.ศ.2553 มาก) แนวปะการังใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 5 ปี ถึงจะมีปะการังสภาพดีขึ้นได้ แต่นั่นก็ต้องเป็นแหล่งที่มีการรบกวนจากมนุษย์น้อยมาก อย่างไรก็ตาม ในบางพื้นที่ถึงแม้ว่ามีการฟื้นตัวเกิดขึ้น แต่องค์ประกอบของประชาคม (coral community) อาจจะเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น กรณีของแนวปะการังบริเวณชายฝั่งหน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ที่เคยมีปะการังเขากวางเด่นบนโซนลาดชัน (ณ ระดับความลึก 8 – 15 ม.) เมื่อได้รับความเสียหายจากการฟอก-ขาวในปี พ.ศ.2538 ทำให้ปะการังเขากวางตายไปมาก ซึ่งจากการติดตามสำรวจในจุดเดียวกันอย่างต่อเนื่อง พบว่าแนวปะการังนั้นใช้เวลานานเกือบ 20 ปีจึงจะมีปะการังที่มีชีวิตขึ้นได้หนาแน่นเหมือนก่อนหน้าที่จะได้รับผลกระทบจากการฟอกขาวในปี พ.ศ.2534 การสำรวจหลังการฟอกขาวของปะการังคราวนี้ ได้พบโคโลนีวัยอ่อน (ขนาดเล็กกว่า 5 ซม.) ของปะการังในสกุล Acropora spp. ขึ้นในหลายพื้นที่ แสดงให้เห็นว่าสิ่งแวดล้อมในแนวปะการังเหล่านั้นยังอยู่ในสภาวะที่เอื้ออำนวยต่อการลงเกาะและการเจริญเติบโตของตัวอ่อน มีอยู่เพียงแห่งเดียวที่น่าเป็นห่วง คือบริเวณฝั่งตะวันออกของเกาะเมียง (หาดเล็ก) ซึ่งไม่พบปะการังวัยอ่อนเลย แต่กลับพบว่ามีสาหร่ายในกลุ่ม blue-green algae (cyanobacteria) ขึ้นคลุมบนซากปะการังที่ตายจากการฟอกขาว สิ่งนี้ เป็นข้อบ่งชี้ถึงมวลน้ำที่ไม่สะอาด สาเหตุอาจเกิดจากของเสียที่ถูกถ่ายเทลงน้ำ โดยเฉพาะของเสียจากเรือที่จอดอยู่เป็นจำนวนมากในบริเวณนั้น รวมทั้งอาจเป็นของเสียที่ไหลซึมผ่านชั้นดินเนื่องจากพื้นที่นั้นไม่ไกลจากที่พักของนักท่องเที่ยว ฉะนั้นการจัดการพื้นที่เพื่อให้คุณภาพน้ำดีเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ทางอุทยานแห่งชาติต้องจัดการ

นักวิจัยสำรวจปะการังวัยอ่อน

นักวิจัยสำรวจปะการังวัยอ่อน (juvenile coral) ที่เริ่มเจริญเติบโตในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ จากปะการังฟอกขาว เป็นปะการังสกุล Acropora (ปะการังเขากวาง) และ Favia (ปะการังวงแหวน)

          ในการติดตามศึกษาหลังการฟอกขาวครั้งนี้ ได้ติดตามตรวจสอบการอุบัติของโรค (coral disease) ด้วย พบว่าโรคด่างขาว (white band disease) มักเกิดขึ้นโดยเฉพาะกับปะการังดาวใหญ่ (Diploastrea heliopora) ปะการังที่เกิดโรคด่างขาวจะค่อยๆ ตายไป และยังพบโรคจุดขาว (white spot) มากขึ้นหลังจากเหตุการณ์ฟอก-ขาวผ่านไป โดยโรคนี้มักพบในปะการังโขด (Porites lutea) จะมีการติดตามตรวจสอบต่อไปว่าโรคนี้ทำให้ปะการังตายหรือไม่และระดับของผลกระทบที่เกิดขึ้น

ปะการังดาวใหญ่

ปะการังดาวใหญ่ (Diploastrea heliopora) เกิดโรคแถบขาว(ซ้าย) และปะการังโขด (P. lutea) เกิดโรคจุดขาว(ขวา)